ปีใหม่ปีนี้เป็นอีกปีหนึ่งที่ผมไม่มีโปรแกรมเดินทางระยะไกล ด้วยความที่เบื่อหน่ายกับการต้องไปแย่งกันกิน แย่งกันเที่ยวตามสถานที่ยอดนิยมทั้งหลาย "เราไปสูดอากาศทางเหนือไม่ได้ เราไปวังน้ำเขียวแทนก็ได้" เมื่อคิดแบบนั้นผมก็รีบจัดแจงหาข้อมูลและเก็บกระเป๋าทันที
6.00 น. ในที่สุดก็ถึงเวลาเคลื่อนตัวออกจากบ้านเสียที จากที่วางแผนไว้ว่าจะออกไม่เกิน ตี 5 ก็เลยเวลาอีกจนได้ เพราะสัมภาระของเจ้าตัวเล็กนั้นมากมายเสียจนย้ายบ้านได้เลย นี่ขนาดไปวันเดียวนะเนี่ย ครั้งนี้ผมเลือกใช้ เส้นทางมอเตอร์เวย์ เข้าสู่ฉะเชิงเทรา-พนมสารคาม-กบินทร์บุรี-วังน้ำเขียว ปกติผมจะไม่ชอบไปเส้นมอเตอร์เวย์เพราะผมว่าถนนวิ่งยากกว่าทางด่วนบูรพาวิถี แต่เนื่องจากมันย่นระยะทางได้พอสมควรครั้งนี้ก็เลยต้องใช้บริการสักหน่อย
ผมขับไปเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อน เน้นที่การขับรถชมวิวเป็นหลัก... อีกทั้งเป็นช่วงวันหยุดยาว วันพรุ่งนี้ก็ยังหยุดอยู่จึงไม่มีความจำเป็นต้องรีบกลับบ้าน กลับดึก ๆ ก็ยังสบายๆ 8.10 น. เราก็มาถึงร้านกาฟงกาแฟ ที่เพื่อน ๆ แนะนำกันมา ร้านกาฟงกาแฟ อยู่ห่างจากแยกกบินทร์บุรี 4 กม. ฝั่งขาออก สังเกตุง่ายเพราะมีป้ายขนาดใหญ่ติดอยู่ .....ร้านนี้มักเป็นจุดแวะพักทานอาหารสำหรับนักเดินทางที่ผ่านไปผ่านมา ร้านเปิดให้บริการ 7.30 น.- 19.30 น. เปิดประตูลงจากรถลมเย็นก็ปะทะหน้าทันที อากาศในตอนนี้สดชื่นมากถึงแม้ว่าจะอยู่ริมถนนก็ตาม ชื่อร้านก็บอกอยู่แล้วนะครับว่าร้านนี้ขายอะไร ที่ร้านมีบริการกาแฟ, เบเกอรี่ และอาหารต่าง ๆ ที่เพื่อน ๆ แนะนำกันมากก็คือขนมปังปิ้ง แต่ผมไม่ได้ลองครับ เนื่องจากโดนข้าวตัดกำลังไปซะแล้ว จะกินต่อก็ไม่ไหวแล้วครับ
หลังจากที่กินตุนกันเสร็จเรียบร้อย... ก็ถึงเวลาที่จะต้องเดินทางกันต่อ ตอนนี้เราสายกันมากแล้วด้วย ตอนนี้ก็ถึงคิวของรถที่ต้องกินเชื้อเพลิงแล้ว ผมแวะเติมแก๊สแถวแยกกบินทร์บุรี จากนั้นก็ มุ่งหน้าสู่ อ.วังน้ำเขียว ตามแผนการเดิมเราจะเข้าไปเที่ยวในเส้นทางของ ต.ไทยสามัคคีและไปสุดที่จุดชมวิวผาเก็บตะวัน แล้วจึงออกมาเที่ยวด้านนอกกันต่อ แต่พอไปถึงก็ต้องเปลี่ยนแผนโดยที่ไม่ต้องคิดกันมาก จะไม่ให้เปลี่ยนแผนได้ไงล่ะครับ ก็ทางเข้ารถติดยาวหลายกิโล ใครที่เคยไปคงนึกภาพออกนะครับว่าทางเข้าเส้นทางนี้เป็นอย่างไร มารู้ทีหลังว่าที่รถมันติดก็เพราะด้านในมีการจัดงานเทศกาลวันเบญจมาศบานกัน 11.00 น. เราก็มาถึง วิลเลจฟาร์ม... หาทางเข้ายากพอสมควรครับ เพราะตำแหน่งที่แสดงอยู่ใน GPS กับตำแหน่งจริงมันไม่ตรงกันครับ วิลเลจฟาร์มเป็นแหล่งปลูกองุ่นคุณภาพดีที่ใช้สำหรับผลิตไวน์ ที่นี่มีผลิตภัณฑ์ที่ได้จากองุ่นไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อกันมากมาย และยังมีที่พักไว้ให้บริการอีกด้วย ผมแอบไปเดินดูบ้านพักเอาไว้แล้วครับ บ้านพักเป็นหลังอยู่ท่ามกลางธรรมชาติน่าอยู่มาก หากมีโอกาสคงต้องมาลองสักหน่อย
เดินชมวิวกันพอหอมปากหอมคอก็ได้เวลาย้อนกลับเข้าเส้นทางเดิมแล้ว จากคำแนะนำของน้องที่วิลเลจฟาร์มเราก็ได้เส้นทางลัดที่ไม่ต้องเข้า ต.ไทยสามัคคีจากทางถนนใหญ่มา เส้นทางลัดที่เราใช้กันนั้นจะเรียกว่าลัดก็คงไม่ถูกมากนัก สภาพเส้นทางเป็นทางลูกรัง มีแยกค่อนข้างเยอะและไม่มีป้ายบอกทางต้องวัดดวงกันครับว่าจะเข้าถูกหรือไม่ ผมขับเข้าไปเรื่อยๆ จนเริ่มหาทางออกไม่เจอล่ะ ก็พอดีเจอที่พักแห่งหนึ่งชื่อ มัชลี เคียงดาว ด้วยสถานที่และทำเลที่ค่อนข้างสะดุดตา ผมก็เลยถือโอกาสเข้าไปถามทางซะเลย คำตอบที่ได้ก็คือ หลง ครับ แต่ก็ถือว่าเป็นการหลงที่รู้สึกดีครับ เพราะเหมือนกับเราได้มาเจาะลึกวังน้ำเขียวกัน แถมได้เห็นที่พักสวย ๆ ด้วยครับ
ในที่สุดเราก็หลุดออกมาถึงถนนสายหลักกันซะที พอออกมาถึงรถติดครับ โธ่อุตส่าห์หนีไปเที่ยวที่อื่นก่อนนึกว่ารถจะน้อยลงแต่ที่ไหนได้ยังเหมือนเดิมเลย หลังจากที่เราต้องผจญกับรถติดกันเป็นชั่วโมงก็มาถึงตรงที่จัดงานเทศกาล เราจึงรู้สาเหตุที่ทำให้รถติดกัน ก็จะไม่ให้ติดได้ไงล่ะครับ จอดรถกันริมถนนทั้ง 2 ฝั่ง รถสวนกันลำบากมาก พอเลยจุดจัดงานรถหายหมดเลยครับ บนถนนนั้นแถบไม่มีรถวิ่งเลย ผมขอฝากทาง อบต.ไทยสามัคคีด้วยนะครับ ในปีถัดไปหากจะจัดงานแบบนี้อีก ช่วยจัดการจราจรให้ดีกว่านี้หน่อยครับ หรือช่วยชี้แจงเส้นทางเข้าออกให้มีความหลากหลายหน่อยครับ ไม่เช่นนั้นแล้วคนที่ตั้งใจเข้าไปเที่ยวในจุดที่เลยจากจุดจัดงานไปก็จะลำบากมาก เพราะทางเข้าออกเท่าที่ผมทราบมันมีอยู่เส้นทางเดียวครับ ผมลองถามเจ้าหน้าที่ด้านในมีทางออกอื่นที่ไม่ใช่ทางหลักนี้ได้แต่รถเก๋งออกไม่ได้ครับเพราะทางไม่ดี 13.30 น. เราก็มาถึงสวนลุงไกร... มาถึงก็เจอลุงไกรควงกีต้าร์นั่งร้องเพลงให้เราฟังกัน เราเดินเข้าไปชมในแปลงปลูกผัก ผักของลุงไกรนั้นเป็นผักปลอดสารพิษหากใครต้องการชิมก็หาซื้อได้ที่ด้านนอกครับ ตอนนี้เราคงต้องทำเวลากันสักหน่อยจากที่เมื่อเช้าเรายังสบาย ๆ กันอยู่ จะไม่ให้ทำเวลาได้ไงล่ะครับก็ตอนนี้ท้องมันเริ่มประท้วงแล้ว เราออกจากสวนลุงไกรกันโดยที่มีเป้าหมายคือหาอะไรให้ท้องก่อน ผ่านฟาร์มเห็ดก็แวะเข้าไปดูเผื่อจะมีเห็ดให้กินบ้างแต่ก็ไม่มีครับ เราจึงเดินเข้าไปชมเห็ดกัน แล้วก็รีบไปต่อ แวะจอดถามตามที่พักต่างๆ ก็ได้คำตอบเหมือนกันว่า มีอาหารเพียงพอแค่บริการแขกที่ไปพักเท่านั้น แถมมีเสียงบ่นกันทุกที่ว่ารถติดมากไม่สามารถออกไปข้างนอกได้เลยตั้งแต่เช้า
เราจึงมุ่งหน้าไปที่ ผาเก็บตะวัน กันเลย เพราะเห็นบอกว่าน่าจะมีอาหารขายอยู่บ้าง แต่มันเย็นแล้วไม่รู้จะมีเหลือรึป่าว จากที่ตอนแรกว่าจะไม่เข้าไปต่อเพราะมันเริ่มเย็นแล้ว แต่จะให้ขับย้อนกลับออกไปด้านนอกก็คงไม่ไหวรถก็ยังติดอยู่ เราจึงต้องเสี่ยงขึ้นไปกัน พอถึงด่านตรวจอุทยานฯ เราก็ได้ฟังคำที่เราอยากฟัง “ข้างบนมีข้าวขายครับ ยังมีอยู่ขึ้นไปได้เลยครับ” เหมือนสวรรค์มาโปรดเลยครับ ก่อนที่จะกินข้าวกันผมขอเล่าเรื่องเส้นทางสักหน่อย
เส้นทางเข้าไปที่ผาเก็บตะวัน ...จากสวนลุงไกรมาก็ยังเป็นถนนลาดยางอยู่ แต่วิ่งได้สักพักก็จะเป็นถนนลูกรังรถเก๋งเข้าได้สบายครับ แต่ต้องไปช้าๆ หากเป็นหน้าฝนสภาพเส้นทางน่าจะลำบากครับ ผาเก็บตะวัน อยู่ในการดูแลของอุทยานแห่งชาติทับลาน บริเวณผาเก็บตะวันมีร้านอาหารของอุทยานฯ ไว้คอยบริการ และมีสถานที่กางเต้นท์พร้อมห้องน้ำด้วยครับ
เราได้กินข้าวเที่ยงกันตอน 15.30 น. มื้อนี้เป็น กะเพราหมู, เห็ดผัดน้ำมันหอย, ไข่เจียว ถึงจะเป็นอาหารธรรมดาแต่ก็อร่อยมากครับต้องขอเพิ่มกันอีกหลายจาน หลังจากเก็บบรรยากาศดี ๆ วิวงาม ๆ ได้ไม่นานเราก็ต้องรีบออกกันเพราะเย็นมากแล้วและต้องไปผจญกับรถติดต่อ เราออกจากผาเก็บตะวันตอน 16.00 น. ออกมาถึงถนนใหญ่ 18.00 น. หลายชั่วโมงที่ต้องผจญกับรถติด อุตส่าห์หนีรถติดในกรุงเทพฯ ทั้งที แต่ถึงอย่างไรผมก็จะมาวังน้ำเขียวอีกแน่นอนครับ เพราะยังมีอีกหลายที่ที่ตั้งใจไว้หากรถไม่ติดเราก็คงได้ไปแวะชมกันแล้ว ครั้งต่อไปผมคงไม่ไปหน้าเทศกาลอีกแล้วครับเข็ดเลย
ขากลับผมเลือกที่จะไม่ใช้เส้นทางเดิม แต่ไปใช้เส้นทางเลียบอ่างเก็บน้ำลำพระเพลิงไปออก อ.ปากช่อง เข้า จ.สระบุรี กลับสู่กรุงเทพฯ ขอบอกเลยครับว่าเสียดายมาก ๆ ผมไม่น่าขับเข้าไปเส้นไทยสามัคคีเลย น่าจะเลี้ยวกลับตั้งแต่เห็นรถติดแล้ว เพราะว่าเส้นทางขากลับนั้นสวยมากครับ ถนนวิ่งเลียบอ่างเก็บน้ำ มีที่พัก ร้านอาหารน่านั่งหลายที่ ตอนที่ผมไปถึงนั้นเป็นช่วงโพล้เพล้ข้างทางมีร้านอาหาร มีที่พักที่ให้บริการกางเต้นท์นอนชมดาวกัน อากาศที่หนาวเย็นลงทำให้ไม่ต้องเปิดแอร์กันเลย ลมหนาวที่พัดเข้ามาในรถหนาวกว่าเปิดแอร์ซะอีก ผมเห็นแล้วอยากจะหยุดรถแล้วนอนเต้นท์ซะจริง คิดในใจไว้แบบเสียงดัง ๆ ไว้แล้วครับ ครั้งหน้าต้องมานอนให้ได้
หลังจากขับรถฝ่าความมืดสนิท เราก็มาถึงร้าน Primo Posto ร้านชื่อดังแห่งเขาใหญ่ที่ใครต่อใครต่างก็ต้องมาแวะถ่ายรูปกันแถบทุกคน ผมไปถึงก็มืดแล้วครับจึงไม่มีรูปสวย ๆ อย่างคนอื่นมาให้ชม คงต้องขอติดเอาไว้ครั้งหน้าครับ
ด้วยระยะทางกว่า 500 กิโลเมตร วันนี้ก็เป็นอีกวันที่มีความสุขมาก แต่ต้องไม่นับเรื่องรถติดนะครับ 23.00 น. เรากลับมาถึงบ้านกันโดยสวัสดิภาพ เร็วกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเหมือนกันครับ สำหรับใครที่มีเวลาจำกัด เส้นทางวนรอบ กรุงเทพฯ-วังน้ำเขียว-ปากช่อง-กรุงเทพฯ ก็เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่สามารถไปกันวันเดียวได้ครับ แต่ถ้าจะให้ดีควรจะข้างคืนสัก 1 คืน เพื่อให้ได้สูดโอโซนกันได้อย่างเต็มที่ การเดินทางในครั้งนี้ของผมก็คงขอหยุดไว้แต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่คอยติดตามและเป็นกำลังใจให้ครับ
ข้อมูลการเดินทาง จากกรุงเทพฯ สามารถไป อ.วังน้ำเขียวได้ 3 เส้นทาง
- กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา-พนมสารคาม-กบินทร์บุรี-วังน้ำเขียว ออกจากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์เข้าสู่ฉะเชิงเทรา ก่อนถึงฉะเชิงเทราจะมีป้ายเลี้ยวขวาไปพนมสารคาม วิ่งผ่านพนมสารคามถึงแยกกบินทร์บุรี หลังจากผ่านแยกกบินทร์บุรีเส้นทางจะเริ่มขึ้นเขาถึง อ.วังน้ำเขียว
- กรุงเทพฯ-รังสิต-นครนายก-ปราจีนบุรี-วังน้ำเขียว ออกจากรังสิตไปทางนครนายก ผ่านแยกขึ้นเขาใหญ่ทางปราจีนบุรี หลังจากผ่านแยกกบินทร์บุรี ใช้เส้นทางสาย 304 มุ่งตรงสู่ อ.วังน้ำเขียว
- กรุงเทพฯ-รังสิต-สระบุรี-มวกเหล็ก-ปากช่อง-ปักธงชัย-วังน้ำเขียว ออกจากรังสิตใช้เส้นทางรังสิต-บางปะอิน-หินกอง-สระบุรี เลี้ยวขวาไปทางมวกเหล็กผ่านแยกปากช่องมุ่งหน้าสู่ปักธงชัย เข้าสู่เส้นทางสาย 304 มุ่งตรงสู่ อ.วังน้ำเขียว
**** ข้อมูลเกี่ยวกับ อ.วังน้ำเขียว สามารถดูได้ที่เว็บไซต์ http://www.wnk.go.th, http://www.wangnamkheo.com ,
|